วันแรกไปถึงสถานที่ตอนช่วงสาย ๆ เอากระเป๋าเก็บในห้อง ก่อนจะเริ่มปฐมนิเทศกันช่วงบ่าย พอมีเวลาเหลืออยู่บ้าง คุยกะใครก็ไม่ได้แล้ว เดินสำรวจสถานที่ดีกว่า
รีวิว สถานที่ + อาหาร
รีสอร์ทหรูดีๆนี่เอง เนื้อที่โดยรวมประมาณ 8 ไร่ มีบ้านพัก อยู่ 3 หลัง ตกแต่งแนวรีสอร์ท บาหลี ปูนเปลือย เน้นความโล่งสบาย ไม่มีแอร์ แต่อากาศเย็นสบาย น่าจะพักได้เกือบ 80 คน แต่หากห้องพักเต็มก็สามารถกางเต็นท์ นอนตรงสนามหญ้าได้ เหมือนได้ไปแคปปิ้งอีกแบบ
บริเวณโดยรอบบ้านพัก มีสระบัวหลวงสีขาวขนาดใหญ่ ช่วงเช้าดอกบัวจะบานสะพรั่ง อวดโฉม เหมาะสำหรับการนั่งหุ่ย จิบกาแฟร้อน บนศาลาไม้ขนาดเล็ก ที่ตั้งเรียงรายโดยรอบ เรียกว่าสถานที่ก็ กินขาดแล้ว ห้องพักก็สะดวกสบาย มีห้องน้ำในตัว พักได้ประมาณ 8 คนต่อห้อง เอาไว้สำหรับงีบระหว่างพัก หลังจากปวดแข้งปวดขาจากการปฏิบัติมาทั้งวัน เรียกว่าเป็นสถานที่ ซุปเปอร์สัปปายะเลย (สัปปายะ = สบายเหมาะกับการปฏิบัติ)
อาหารที่นี่มีให้รับประทาน 3 มื้อ เพราะถือศีล 5 เป็นอาหารมังสวิรัติ ที่รสชาติอร่อยมาก มีชา กาแฟ น้ำขิง และ สารพัดเครื่องดื่มร้อน ของว่างระหว่างมื้อ ถ้าเผลอใจรับรองได้ความอ้วนกลับเป็นของแถมด้วย เขียนไปจะกลายเป็นรีวิวสถานที่เที่ยวแบบพันทิพย์ซะแล้ว ที่มีการจัดเตรียมความพร้อมสำหรับผู้ปฏิบัติขนาดนี้เพราะ อยากให้ทุกคนได้ผ่อนคลายจากการตั้งใจปฏิบัติทั้งวัน
ทั้งหมดนี้ทางคุณแม่ทางธรรมและ ท่านวิทยากร รับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมด แต่เราก็สามารถทำบุญร่วมกันเป็นเจ้าภาพตามแต่กำลังศรัทธาได้ครับ ผมเพลนแล้วว่าจะขอเป็นเจ้าภาพร่วมในการจัดครั้งหน้าด้วย
สำหรับการปฏิบัติในแต่ละวัน จะมีการสอนเดินจงกรม สลับกับนั่งสมาธิ มีการสอบอารมณ์ก็คือการถาม-ตอบ กับทางอาจารย์ เพื่อคลายความสงสัยในการปฏิบัติ (เป็นโอกาสเดียวที่จะได้พูด โดยไม่โดนทำโทษ อันนี้ล้อเล่นไม่มีทำโทษ ) โดยจะปฏิบัติกันวันละ 4 รอบ เรียกว่าตั้งแต่พระอาทิตย์ยังไม่ขึ้น ยันพระอาทิตย์ตกเลย หนักกว่าทำงานประจำอีก
การเดินจงกรม จะมีทั้งหมด 7 แบบ (ขวาย่างหนอ – ซ้ายย่างหนอ / ยกหนอ- เหยียบหนอ….. จะไม่เล่ารายละเอียดการปฏิบัติ เดี๋ยวจะไม่ตื่นเต้น) โดยจะสอนวันละแบบ 7 วัน 7 แบบ ช่วยให้เริ่มเดินอย่างง่าย ไปหาอย่างยาก ข้อดีคือ ทำให้ค่อยๆปรับจังหวะการเดินได้ดีขึ้นเพราะขั้นตอนจะเริ่มจากง่าย จังหวะการเดินน้อยคือเดิน 2 จังหวะ ไปหายาก เดิน 7 จังหวะ ทำให้ไม่รู้สึกเหนื่อยเกินไป โดยท่านอาจารย์จะเดินไปพร้อมกับเรา และคอยให้คำแนะนำตลอดเวลา
ส่วนเวลาในการเดินจงกรม จะเริ่มเวลาจากน้อยไปหามาก ทำให้เราไม่เหนื่อยเกินไปเช่นกัน วันแรกๆ จะเดินประมาณ 30 นาทีและค่อยๆปรับเพิ่มจนวันสุดท้าย พวกเราสามารถเดินได้เป็นชั่วโมง โดยไม่รู้สึกตัว (คือไม่รู้ว่าหมดเวลาตอนไหน ไม่ใช่ไม่มีสตินะ) หลังจากเดินเสร็จก็จะต่อด้วยการนั่งสมาธิที่ใช้เวลาเท่ากันกับการเดิน ซึ่งพวกเราก็จะทำแบบนี้วนๆเวียนๆ ทุกวัน
ในแต่ละวันจะมีการสอดแทรกให้เราฟังธรรมะ โดยเนื้อหาที่ฟังจะสอดคล้องกับระดับการปฏิบัติของเราในแต่ละวัน เช่น 2 วันแรก ที่เราปฏิบัติก็จะมีความมสงสัยในใจกันเยอะแยะ เดินแล้วสติไม่อยู่กับตัวทำยังไง จะกำหนดยังไงถ้าหายุบหนอ พองหนอไม่เจอ รวมถึงสภาวะทางธรรมบางอย่างที่ประสบระหว่างการปฏิบัติ เช่นตัวเบา สบาย รู้สึกเหมือนตัวหายไป หัวใจเต้นแรง ร้องไห้ ทางอาจารย์ก็จะเปิดCD ปัญหาถาม-ตอบของคุณแม่สิริที่ ตอบลูกโยคี (ผู้ปฏิบัติจะเรียกตัวเองว่า โยคี ที่แปลว่า ผู้เร่งเผากิเลส ) ที่เคยถามปัญหาเดียวกับเรา (แบบ FAQ ) พวกเราก็จะร้องอ๋อทันที
ทุกอย่างในหลักสูตรถูกวางไว้อย่างเหมาะเจาะเหมาะสม รู้ว่าแต่ละวันเราจะมีคำถามอะไรในใจ ควรจะฟังธรรมะเรื่องอะไร เพื่อให้เหมาะกับความก้าวหน้าในการปฏิบัติของพวกเราในแต่ละวัน ทำให้พวกเรารู้สึกสนุก อินท์ เหมือนกับได้ดูซีรีย์เป็นตอนๆ แล้วก็ลุ้นว่าตอนจบพระเอกกับนางเอกจะเป็นยังไง หรือคล้ายๆ จิ๊กซอว์ที่ค่อยๆถูกต่อเติมข้าไปทีละชิ้น จนได้ภาพสุดท้ายที่งดงาม ถ้าอยากรู้ลองมาปฏิบัติดู ไม่อยากบอกทั้งหมดเดี๋ยวหมดหนุกกันพอดี
นอกจากการปฏิบัติ เกือบทั้งวันในห้องแล้ว สิ่งสำคัญอีกอย่างคือเราต้องกำหนดอิริยาบถย่อยๆ ของเราตลอดทั้งวัน ตั้งแต่ตื่นนอน ยันเข้านอน เช่นเวลาอาบน้ำ ก็ต้องกำหนด เดินก็ต้องกำหนด
แต่อันที่ผมว่าเหนื่อยและทรมานสำหรับผมที่สุด ก็คือตอนรับประทานข้าวนี่แหละ วันแรกไม่รู้ ตักมาซะล้นจาน คืออาหารมันน่าหม่ำมาก แต่พอรู้ว่าต้องกำหนดตอนทานด้วย เช่น (1) เห็นหนอ (2) อยากกินหนอ แค่เห็นอาหารนะ ใช้ไป 2 หนอแล้ว พอจะตักข้าว (1) ไปหนอ (2) ตักหนอ (3) มาหนอ (4) อ้าปากหนอ (5) ใส่หนอ (6) อมหนอ (7) รสหนอ (8) เคี้ยวหนอ (9) กลืนหนออออออ 9 + 2 =11 กว่าจะได้หม่ำ 1 คำ กำหนด 11 หนอ นี่เราตักมาล้นขนาดนี้ กะๆ ดู ไม่ต่ำกว่า 30 ช้อน บวกลบคูณหารประมาณ 3-4 ร้อยหนอ พักชั่วโมง คงไม่อยู่ ซวยแล้ว อดนอนพักตอนเที่ยงแน่ๆ แว่วเสียงอาจารย์บอกมาว่า ทานนานๆก็ได้ ไม่ต้องเร่งซัก 30 นาที จะได้กำหนดได้เยอะๆ เหอๆ ไม่ได้การ เราเป็นโยคีที่ดีต้องกำหนดเหมือนอาจารย์บอกเป๊ะ แต่ลักไก่ขอตักแบบล้นๆ 1 ช้อน = 2 คำ จะได้รีบไปนั่งตา-กลมชมสระบัว จิบกาแฟถึงไม่ใช่ตาบั๊กก็โอเค หลังจากมื้อนั่น เป็นต้นมา ผมตักอาหารน้อยโดยอัตโนมัติ กลับบ้านมาแฟนยังสงสัยทำไมลดไป 3 กิโล ทั้งที่ไปโม้ว่าอาหารอร่อยมาก 55 ข้อดีอีกอย่างของการกำหนด ก็คือลดความอ้วนด้วย ผลพลอยได้
มีการกำหนดอิริยาบถอย่างนึงที่ดูน่าสนุกคือตอนนอน อาจารย์จะสอนให้กำหนดดูยุบหนอ พองหนอที่ท้อง ไปเรื่อยๆ ตอนนอน แล้วถ้าสติเราดีเราจะรู้ว่าเราหลับตอนจังหวะยุบหรือพองและ สามารถกำหนดให้ตื่นเวลาไหนก็ได้ ไม่ง้อนาฬิกาปลุกแล้ว กลับบ้านจะเขวี้ยงทิ้งเลย ชอบส่งเสียงกวนให้ตื่นนัก เช่น อยากตื่นตีสีครึ่ง ก็จะตื่นก่อนเวลาประมาณ 10 นาที อันนี้น่ามหัศจรรย์มาก ต้องพิสูจน์
ผมก็พยายามอยู่หลายวัน ทุกวันตอนเช้า อาจารย์จะมาถามว่าใครกำหนดแล้วตื่นได้ตรงเวลาบ้าง คนยกมือก็จะเป็นโยคีหญิงล้วนๆ หนูตื่นก่อน 15 นาที 10 นาที 5 นาที บระเจ้า !!!!! ถ้าสมัยเรียนก็พวกเด็กเกียรตินิยมดีดีนี่เอง แต่ฝั่งโยคีชาย ชนกลุ่มน้อยที่มีอยู่ไม่เกิน 10 คนได้แต่นั่งก้มหน้าเงียบทุกวัน ไม่กล้าสบตา ผมไม่อยากจะเมาท์ผมก็ทำได้เหมือนกัน กำหนดทุกคืนเหมือนกัน แต่ตื่นก่อนเวลาแค่ 2 ชมเอง ตอนตีสอง เพราะตื่นมาฉี่ทุกคืน แป๋วววววว อากาศมันเย็น ก้มหน้าเงียบต่อไปดีกว่าเรา
ช่วง 2-3 วันแรกเป็นอะไรที่เบื่ออึดอัดจริงๆ อยากกลับบ้าน อยากกินตาบั๊ก อยากเล่น Face book อยาก เล่น Line อยากไปซะทุกอย่างจนเขียนไม่หมด ทั้งที่อยากขนาดนี้ แค่อยากจะพูดก็พูดกับใครไม่ได้ แต่โชคดีที่อาจารย์บอกแต่แรกแล้วว่า จะเป็นแบบนี้ตอนเริ่มต้น ให้อดทน พากเพียร ตั้งใจ โดยให้พยายามกำหนดอิริยาบถตลอดทั้งวัน ตั้งใจเดินจงกรม นั่งสมาธิ จะเริ่มเห็นผลความตั้งใจ ในวันที่ 3- 4 เป็นต้นไป หุหุ จริงหรือเปล่าเนี้ย ความอยากจะระเบิดแล้วววววว
จะเห็นผลอะไรขึ้นหลังจากวันที่ 4 ที่ทุกคนตั้งใจปฏิบัติ ติดตามอ่านต่อบทความหน้านะครับ
<7 วันที่ฉันตื่น (1)> / <7 วันที่ฉันตื่น (จบ)>
I – Baked in temple
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น